บทที่ 5 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ

by 01:00 0 ความคิดเห็น



การจัดทำโครงงานสำรวจเรื่อง การสำรวจพฤติกรรมการรับรู้ข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้า สามารถสรุปผลการดำเนินโครงงานและข้อเสนอแนะ ดังนี้


สรุปผลการดำเนินโครงงาน



จากสมมติฐานโครงงานนี้ที่ว่านักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้ามีการใช้ Facebook เป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากที่สุด ผลการสำรวจพบว่า  

LINE เป็นช่องทางที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นประจำมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 90.90 ส่วน Facebook เป็นอันดับสอง คิดเป็นร้อยละ 86.67 
มีความสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่องพฤติกรรมการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีของ ขวัญวิทย์ ตาน้อย (2554) ที่ว่าส่วนใหญ่เป็นสมาชิก Facebook ใช้บริการ 7 วันต่อสัปดาห์ โดย ณ เวลานั้นยังไม่มี Application LINE เข้ามา แต่ปัจจุบันเมื่อมี LINE เข้ามาเป็นที่นิยมเป็นอันดับหนึ่ง Facebook ก็ยังคงความเป็นที่นิยมไว้เป็นอันดับสอง และยังสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีและปัจจัยการรับรู้ข่าวสาร (Klapper, J.T., อ้างถึงใน วังทราย อินทะวัน , 2553, น15) โดยแม้ LINE จะเป็นช่องทางที่มีความนิยมสูงสุด แต่ช่องทางอื่นๆ ก็ยังได้รับความนิยมและมีผู้ใช้งานอยู่บ้าง ตรงกับลีลาในการสื่อสารที่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกเปิดรับข่าวสาร


สมมติฐานต่อมาคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้าสายวิทย์-คณิตมีการใช้ Facebook เป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากที่สุด ส่วนสายศิลป์-คำนวณมีการใช้ LINE เป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากที่สุด ผลที่ได้ไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน คือ 
ทั้งสายวิทย์-คณิตและศิลป์-คำนวณมีการใช้ LINE เป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นประจำมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 83.33 และ 100 ตามลำดับ ส่วน Facebook เป็นอันดับสองทั้งสองสายการเรียนเช่นเดียวกัน 
สรุปได้ว่าสายการเรียนไม่ได้มีผลต่อการเลือกใช้ช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้า


สมมติฐานสุดท้ายคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้ามีการใช้อินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาหัวค่ำมากที่สุด ผลที่ได้สอดคล้องกับสมมติฐานคือ 
กลุ่มตัวอย่างสืบค้นข้อมูลข่าวสารเป็นประจำมีความถี่สูงสุดในช่วงเวลาหัวค่ำ (18.00-22.00 น.) คิดเป็นร้อยละ 66.67 และรองลงมาคือช่วงเวลาเย็น (14.00-18.00 น.) คิดเป็นร้อยละ 39.40 ส่วนช่วงเวลาที่ไม่เคยสืบค้นข้อมูลข่าวสารสูงสุดคือ เช้ามืด (2.00-6.00 น.) คิดเป็นร้อยละ 39.40 
มีความสอดคล้องใกล้เคียงกับงานวิจัยเรื่องพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคม (Social  Network) เพื่อพัฒนาในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมของทัตธนันท์ พุ่มนุช (2555) ที่ว่าช่วงเวลาที่บุคลากรทางการศึกษาส่วนใหญ่ใช้งานเครือข่ายสังคมคือช่วงเวลา 18.01-24.00 น. และยังมีความสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีและปัจจัยการรับรู้ข่าวสาร (Klapper, J.T., อ้างถึงใน วังทราย อินทะวัน , 2553, น15) โดยช่วงเวลาที่สืบค้นข้อมูลข่าวสารเป็นประจำมากที่สุดคือ ช่วงเวลาหัวค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากเลิกเรียน นักเรียนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สื่ออินเทอร์เน็ตในการรับรู้ข่าวสารเพื่อเป็นประโยชน์ในการทำการบ้านหรือแสวงหาความรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือเรียน ดังนั้น การใช้ประโยชน์และสภาวะจึงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการเลือกเปิดรับข่าวสารของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้า



ปัญหาและอุปสรรคปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการพัฒนา



ในระหว่างการดำเนินการเก็บรวบรวมแบบสอบถามจากนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง แบบสอบถามในส่วนของนักเรียนสายการเรียนศิลป์-คำนวณเกิดการสูญหายไป 3 ฉบับ ทำให้จำนวนแบบสอบถามที่ใช้ในการศึกษามีไม่ครบตามเป้าที่ตั้งไว้


ข้อเสนอแนะ


จากผลสำรวจ ช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Facebook และนักเรียนส่วนใหญ่นิยมเข้าถึงข้อมูลขาวสารในช่วงเวลาหัวค่ำมากที่สุด ดังนั้น หากต้องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยมีเป้าหมายหลักเป็นนักเรียนกลุ่มดังกล่าว ช่องทางที่เหมาะสมที่สุดคือ Facebook และควรเผยแพร่ในช่วงเวลาหัวค่ำ


 

Unknown

Developer

Cras justo odio, dapibus ac facilisis in, egestas eget quam. Curabitur blandit tempus porttitor. Vivamus sagittis lacus vel augue laoreet rutrum faucibus dolor auctor.

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น