การจัดทำโครงงานสำรวจเรื่อง
การสำรวจพฤติกรรมการรับรู้ข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้า สามารถสรุปผลการดำเนินโครงงานและข้อเสนอแนะ
ดังนี้
สรุปผลการดำเนินโครงงาน
จากสมมติฐานโครงงานนี้ที่ว่านักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้ามีการใช้ Facebook เป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากที่สุด
ผลการสำรวจพบว่า
LINE เป็นช่องทางที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นประจำมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 90.90 ส่วน Facebook เป็นอันดับสอง คิดเป็นร้อยละ 86.67
มีความสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่องพฤติกรรมการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีของ ขวัญวิทย์ ตาน้อย (2554) ที่ว่าส่วนใหญ่เป็นสมาชิก Facebook ใช้บริการ 7 วันต่อสัปดาห์
โดย ณ เวลานั้นยังไม่มี Application LINE เข้ามา
แต่ปัจจุบันเมื่อมี LINE เข้ามาเป็นที่นิยมเป็นอันดับหนึ่ง Facebook
ก็ยังคงความเป็นที่นิยมไว้เป็นอันดับสอง และยังสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีและปัจจัยการรับรู้ข่าวสาร
(Klapper, J.T., อ้างถึงใน วังทราย อินทะวัน , 2553, น15) โดยแม้ LINE จะเป็นช่องทางที่มีความนิยมสูงสุด
แต่ช่องทางอื่นๆ ก็ยังได้รับความนิยมและมีผู้ใช้งานอยู่บ้าง ตรงกับลีลาในการสื่อสารที่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกเปิดรับข่าวสาร
สมมติฐานต่อมาคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้าสายวิทย์-คณิตมีการใช้ Facebook เป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากที่สุด
ส่วนสายศิลป์-คำนวณมีการใช้ LINE เป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากที่สุด
ผลที่ได้ไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน คือ
ทั้งสายวิทย์-คณิตและศิลป์-คำนวณมีการใช้ LINE เป็นช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นประจำมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 83.33 และ 100 ตามลำดับ ส่วน Facebook เป็นอันดับสองทั้งสองสายการเรียนเช่นเดียวกัน
สรุปได้ว่าสายการเรียนไม่ได้มีผลต่อการเลือกใช้ช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้า
สมมติฐานสุดท้ายคือ
นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้ามีการใช้อินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาหัวค่ำมากที่สุด
ผลที่ได้สอดคล้องกับสมมติฐานคือ
กลุ่มตัวอย่างสืบค้นข้อมูลข่าวสารเป็นประจำมีความถี่สูงสุดในช่วงเวลาหัวค่ำ (18.00-22.00 น.) คิดเป็นร้อยละ 66.67 และรองลงมาคือช่วงเวลาเย็น (14.00-18.00 น.) คิดเป็นร้อยละ 39.40 ส่วนช่วงเวลาที่ไม่เคยสืบค้นข้อมูลข่าวสารสูงสุดคือ เช้ามืด (2.00-6.00 น.) คิดเป็นร้อยละ 39.40
มีความสอดคล้องใกล้เคียงกับงานวิจัยเรื่องพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคม (Social
Network) เพื่อพัฒนาในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมของทัตธนันท์
พุ่มนุช (2555) ที่ว่าช่วงเวลาที่บุคลากรทางการศึกษาส่วนใหญ่ใช้งานเครือข่ายสังคมคือช่วงเวลา 18.01-24.00 น. และยังมีความสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีและปัจจัยการรับรู้ข่าวสาร (Klapper,
J.T., อ้างถึงใน วังทราย อินทะวัน , 2553,
น15) โดยช่วงเวลาที่สืบค้นข้อมูลข่าวสารเป็นประจำมากที่สุดคือ
ช่วงเวลาหัวค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากเลิกเรียน
นักเรียนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สื่ออินเทอร์เน็ตในการรับรู้ข่าวสารเพื่อเป็นประโยชน์ในการทำการบ้านหรือแสวงหาความรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือเรียน
ดังนั้น การใช้ประโยชน์และสภาวะจึงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการเลือกเปิดรับข่าวสารของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้า
ปัญหาและอุปสรรคปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการพัฒนา
ในระหว่างการดำเนินการเก็บรวบรวมแบบสอบถามจากนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
แบบสอบถามในส่วนของนักเรียนสายการเรียนศิลป์-คำนวณเกิดการสูญหายไป 3 ฉบับ
ทำให้จำนวนแบบสอบถามที่ใช้ในการศึกษามีไม่ครบตามเป้าที่ตั้งไว้
ข้อเสนอแนะ
จากผลสำรวจ
ช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Facebook และนักเรียนส่วนใหญ่นิยมเข้าถึงข้อมูลขาวสารในช่วงเวลาหัวค่ำมากที่สุด
ดังนั้น หากต้องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยมีเป้าหมายหลักเป็นนักเรียนกลุ่มดังกล่าว
ช่องทางที่เหมาะสมที่สุดคือ Facebook และควรเผยแพร่ในช่วงเวลาหัวค่ำ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น